วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บรอดเวย์สุดอลังการ Chicago the Musical


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปชมการแสดงละครเพลง Chicago the Musical ที่โรงละครเมืองไทยรัชดาลัยเธียร์เตอร์มาค่ะ เป็นการแสดงที่ดีและเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ที่ได้ชมการแสดงโดยผู้กำกับและนักแสดงที่มีคุณภาพระดับโลก เลยอยากมาเล่าให้เพื่อนฟังค่ะ

Chicago เป็นละครบรอดเวย์สุดอลังการที่มีองค์ประกอบตามแบบละคร Broadway อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยม ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากผู้ชมในระดับนานาชาติ ได้รับ 6 รางวัล จาก Tony Awards 2 รางวัล จาก Olivier Awards 1 รางวัล จาก Grammy®

Chicago เป็นเรื่องราวตำนานของละครเมืองนิวยอร์ก เนื้อเรื่องมีความเป็นสากลเกี่ยวกับชื่อเสียง ความมั่งคั่ง บทเพลงไพเราะสุดยอดเยี่ยม ท่าเต้นที่ตื่นตาตื่นใจ เสน่ห์ที่เป็นสากลของ CHICAGO นั้นมาจากเรื่องราวที่น่าหลงใหล เกี่ยวกับการฆาตรกรรม ความโลภ การคดโกง ความรุนแรง ความเห็นแก่ ได้ การคบชู้ การทรยศหักหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดึงดูดคนทั้งโลก

"Hervorragend," "espactaculo," and "astonishing"- นักวิจารณ์จากทั่วโลกยกย่องว่า CHICAGO เป็นการแสดงที่โลกรอคอย จากเมลล์เบิร์น ถึงเม็กซิโก ซิตี้ CHICAGO ทำให้โลกต้องทึ่งด้วยการเป็นละครที่กำลังเปิด โชว์ใน 10 ประเทศและเปิดเพิ่มในอีก 2 ประเทศคือรัสเซียและอิตาลี ละคร ทั่วโลก CHICAGO ยังคงเป็นหนึ่งในละครเพลงฮิตระดับนานาชาติที่ ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล



CHICAGO ยังมีส่วนให้เกิดการแลกเปลี่ยนดาราจากต่างวัฒนธรรม เมื่อโปรดิวเซอร์ Barry และ Fran Weissler ได้เลือกนักแสดงจากหลาก หลายประเทศมาแสดงในการเปิดตัวที่ อย่างเช่น Ute Lemper (อังกฤษ) Ruthie Henshall (อังกฤษ) Petra Nielsen (สวีเดน) Anna Montanaro (เยอรมันและออสเตรีย) Bianca Marroquin (เม็กซิโก) Marti Pellow (อังกฤษและเวลส์) Caroline O'Connor (ออสเตรเลีย) และ Denise Van Outen (อังกฤษ)นี่เป็นเพียงตัวอย่างไม่กี่คนของดาราที่นำสีสันและการ แสดงแบบนานาชาติมาสู่ละครอเมริกัน



เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นที่ชิคาโกในปี 2467 เมื่อ BeulahAnnan (Roxie) ถูกกล่าวหาว่าฆ่า “ผู้บุกรุก” HarryKalstedt ในขณะที่ Belva Gaertner (Velma) นั้นถูกตั้งข้อหาว่าฆาตกรรมสามีของตัวเอง ฆาตรกรทั้ง 2 คนนี้ ได้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune เมื่อนักข่าว Maurine Watkins เล็งเห็นว่า 2 สาวนี้น่าจะดึงดูดความสนใจผู้คนได้โดย ผ่านการนำเสนอข่าวแบบเสียดสีของเธอได้การอ้างว่าท้องถูกนำมาใช้เพื่อ เร่งการพิจารณาคดี ทนายมาดเนียบช่วยจำกัดความหมกมุ่นของสื่อการตัด สินยกฟ้องทั้ง 2 สาวฟังดูเหมือนบทหนังฮอลีวูด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องจริง Maurine นักข่าวหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่อง ราวที่เธอได้รู้เกี่ยวกับ ให้เป็นบทละคร comedy ชื่อ CHICAGO ซึ่งถูกนำ มาสร้างเป็นละคร ในปี 2469 และถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ในอีก 2 ปีต่อมา ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่สร้างจากบทเรื่องนี้สร้างขึ้นในปี 2585 ชื่อว่า "Roxie Hart" นำแสดงโดย Ginger Rogers

Profile ของบัวค่ะ



จารุวรรณ สุริยวรรณ์ (บัว)

Jaruwan Suriyawan (Bua)

การศึกษา
1993 - 1997 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ค.บ.(การสอนวิชาเฉพาะ:ดนตรี) (เกียรตินิยมอันดับ 2)
1998 - 2001 มหาวิทยาลัยมหิดล
ศศ.ม.(ดนตรีศึกษา)

เกียรติประวัติ นักเรียนทุนของ The Associated Board of The Royal Schools of Music
ประสบการณ์ในสายอาชีพ
1991 - 1994 วงดุริยางค์เยาวชนไทย ตำแหน่ง นักเชลโล่
1994 - 1996 โรงเรียนดนตรีสยามกลการรัชดาภิเษก ตำแหน่งอาจารย์สอนเปียโน
1995 - 1998 โรงเรียนดนตรีโรบินสัน ตำแหน่งอาจารย์สอนเปียโน
1998 - 2000 วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร ตำแหน่งอาจารย์พิเศษ
2000 - 2001 โรงแรม Merchant Court ตำแหน่งนักเปียโน
2001 โรงแรมสุโขทัย ตำแหน่งนักเปียโน
2002 - 2003 ห้อง Tiara โรงแรมดุสิตธานี ตำแหน่งนักเปียโน
2003 - 2004 อาจารย์สอนเปียโนสถาบันดนตรี KPN
2003 - ปัจจุบัน - Accompanist สำหรับเครื่องดนตรีอื่นๆ
- อาจารย์สอนเปียโนและทฤษฎีดนตรีแก่บุคคลทั่วไป
2005 - 2008 โรงแรม Patumwan Princess ตำแหน่งนักเปียโน
2008 โรงแรม Centara Grand ตำแหน่งนักเปียโน


ผลงานทางวิชาการ
- เอกสารประกอบการสอน
จารุวรรณ สุริยวรรณ์. (2549). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 08-221-307
เคาน์เตอร์พอยท์ 1. อัดสำเนา
- หนังสือ
จารุวรรณ สุริยวรรณ์. (2549). แนวทางการสอนดนตรี. กรุงเทพฯ: บริษัททริปเพิ้ล กรุ๊ป จำกัด.


ตำแหน่งปัจจุบัน
: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
: นิสิตปริญญาเอก คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
: นักเปียโนประจำโรงแรม Grand Mercure Park Avenue

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประวัติเมืองเกียวโตประเทศญี่ปุ่น

นครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงและที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นมาเกือบ 1,100 ปี จำลองแบบจากนครฉางอันเป็นเมืองหลวงของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ปัจจุบันคือเมืองซีอาน โดยผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีถนนตัดกันเป็นรูปตารางและยังคงปรากฎหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน เกียวโตคือสัญญลักษณ์ความเป็นประเพณีนิยมของญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เก็บรักษาศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไว้ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีจำนวนประชากร 1,400,000 คน ถ้าคุณจะเริ่มเที่ยวที่เกียวโต นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนั่งรถไฟชินคังเซ็นจากโตเกียวมาลงที่สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมง เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็จะได้เห็นสภาพเมืองเกียวโตแออัดจอแจเหมือนเมืองทั่วไปในญี่ปุ่น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะซ่อนตัวอยู่รายรอบด้านนอกกำแพงเมืองเก่าและตามถนนสายแคบ แม้ความเจริญทันสมัยจะรุกล้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังพบเห็นบ้านเรือนแบบเก่ามากมายตามตรอกแคบๆ จากตะวันออกของสถานีเกียวโต เมื่อเดินข้ามแม่น้ำคาโมงาวะมา ก็จะพบวัดซังจูซังเง็นโด (Sanjusangen-do) ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายภาพกีฬายิงธนูบ่อยๆ วัดนี้จัดงานเทศกาลยิงธนูอันโด่งดังในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี หลังคาวิหารมีความยาว 60 เมตร รองรับด้วยเสา 33 ต้น ผนังระหว่างเสามีซุ้มเว้าเข้าไป 33 ซุ้ม ภายในวิหารประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมเหล่าสาวกอีกหนึ่งพัน ซึ่งมีใบหน้าที่แตกต่างกันออกไป หากเดินขึ้นไปตามเนิน ซึ่งอยู่บนถนนฮิงาชิโดริทางด้านทิศตะวันออก ก็จะพบกับ คิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) วัดซึ่งมีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงอันเป็นเวทีร่ายรำนั้นยื่นชะโงกเหนือหุบเหว วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต สร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ ด้านหลังวิหารใหญ่คือศาลเจ้าจิชู (Jishu) ซี่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรส ที่ศาลเจ้านี้มีหินตาบอด (เมกูระอิชิ) ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าสาวๆจะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว ความรักและชีวิตคู่ก็จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง...อย่างนี้ก็ต้องลองไปพิสูจน์กันแล้วล่ะค่ะ ศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งที่จะแนะนำคือ ยาซากะจินจะ (Yasaka-jinja) หรือมีอีกชื่อว่า งิอนซัง (Gion-san) เนื่องจากอยู่ใกล้ย่านงิอน มีซุ้มประตูสร้างด้วยหินแกรนิตสูง 9 เมตร จัดเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทางด้านหลังของศาลมีทางออกสู่สวนสาธารณะมารุยามะโคเอ็น ความงามของสวนและความตระการตาของซากุระช่วงต้นเมษายนของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดี เมื่อข้ามถนนซันโจโดริ (Sanjo Dori) แล้วเดินขึ้นไปทางเหนือก็จะพบกับประตูทาสีชาดของเฮอันจิงงุ (Heian-jingu) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต โดยอุทิศถวานแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้ แบบจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลองค์เดิม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุด เมื่อเดินจากเฮอันจิงงุไปทางตะวันออกเล็กน้อยคุณก็จะถึงวัดนันเซนจิ (Nanzenji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโตด้วย ภายในอารามประกอบด้วยโบสถ์กลาง และโบสถ์เล็ก 12 แห่ง โดยเปิดให้เข้าชมเพียง 4 แห่ง ภายในวัดคุณก็จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาแห่งเซน เนื่องจากความกลมกลืนของหมู่สนกับสถาปัตยกรรมวัด ศิลปะการจัดสวนอย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้โน้มใจผู้มองให้คล้อยตาม และมรคาแห่งปราชญ์ก็มาสิ้นสุดที่วัดงิงคะกูจิ (Ginkakuji) หรือวัดศาลาเงิน ซึ่งสร้างในปี 1489 โดยโชกุนอาชิคางะเอระ ชั้นแรกของวิหารใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีลักษณะแบบชินเด็น ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องบูชา เป็นพุทธศิบป์แบบจีน ภายในสวนมีเนินหินสีขาว สร้างขึ้นเพื่อให้จันทร์สะท้อนแสงอาบไล้ทั่วบริเวณ ตรงปีกตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารก็จะได้พบกับห้องชงชาโบราณซึ่งจัดว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ปราสาทนิโจโจ (Nijo-jo) เริ่มสร้างโดยเจ้าเมืองโอดะ โนบุนางะ ในปี 1569 โชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ผู้เป็นมิตรได้สานต่อจนสำเร็จ ปราสาทแห่งนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินโอ่อ่า และห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจโชกุนในสมัยเอโดะ ภายในปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น "นกไนติงเกล" เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้ หากเดินไปทางทิศตะวันตกตามถนนคิตะโอจิโดริ (Kitaoji Dori) ก็จะผ่านสวนสาธารณะฟุนาโอกะยามะโคเอ็น เพื่อไปยังวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji-วัดศาลาทอง) ซึ่งรู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารหุ้มด้วยทองคำมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน วัดแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำกว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยแมกไม้ จึงมีทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง วัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) ที่นี่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก สวนแห่งนี้คือภาพแอ็บสแตร็กซึ่งวาดด้วยโขดหินแทนน้ำหมึก หิน 15 ก้อน (มีก้อนหนึ่งซึ่งเราไม่มีวันมองเห็นได้ด้วยตา) บนผืนกรวดนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานา หากมานั่งที่ระเบียงแล้วปล่อยใจให้ว่าง ความแห้งแล้งของภาพเบื้องหน้าจะนำพาความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดมาสู่คุณ กล่าวกันว่าเป็นการยกระดับจิตเข้าสู่ภาวะแห่งเซน ย่านเก่ากิอน (Gion) เป็นย่านเริงรมย์หรือถิ่นเกอิชาชื่อกระฉ่อนของเกียวโต ในเกียวโตเรียกเกอิชาว่า "ไมโกะ หรือ เกโกะ" สมัยโบราณคำว่าเกอิชาในเมืองเกียวโตหมายถึงผู้ให้ความบันเทิงซึ่งเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิง แต่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าคำนี้หมายถึงผู้ให้ความบันเทิงที่เป็นหญิง ไมโกะเป็นเด็กรุ่นสาวอายุราว 16 ปี ตรงเอวรัดผ้าแถบยาวเรียก โอบิ (obi) อันเป็นลักษณะเฉพาะ พออายุได้ 21 ปีก็ขยับฐานะไปเป็นเกโกะ แต่งชุดกิโมโนประดับประดาเต็มที่



























วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทคโนโลยีกับศิลปประจำชาติ บรรจงวาดความงาม
ต่างมุมมองกันอย่างไร?

เมื่อครั้งอดีตกาล มนุษย์นั้นเริ่มรู้จักกับงานศิลปะตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ศิลปะเป็นศาสตร์ที่สร้างทุกสิ่ง ศิลปะได้ปรับปรุงและ
เปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อระยะเวลาแต่ละยุคสมัยล่วงผ่านไป
ศิลปะได้ถูกพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความเจริญเกิดขนบธรรมเนียม
ประเพณีและวัฒนธรรมอันหลากหลายแต่ละชนชาติขึ้นมา ทำให้เกิดแนวคิด
และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แทนที่ของดั้งเดิมที่มี
มาก่อน รู้จักนำธรรมชาติมาทำเป็นวัตถุดิบมาประดิษฐ์ดัดแปลง รู้จักนำงาน
ศิลปะมาประยุกต์หรือตกแต่งอาคารสถานที่บ้านเรือน นำศิลปะมาพัฒนาและ
ปรับปรุงเพื่อประโยชน์ใช้สอยหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งได้มีการค้นพบ
มีหลักฐานยืนยันอยู่ตามพื้นทีกระจายอยู่แต่ละประเทศทั่วทุกมุมโลก อาจ
กล่าวได้เลยว่า ศิลปะนั้นถูกพัฒนางานควบคู่ไปกับเทคโนโลยีของแต่ละยุค
สมัยด้วยกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนี้เองเมื่อศิลปประจำชาตินั้น
ถูกเปลี่ยนไปด้วยทัศนคติ ด้วยกลไกหรือเครื่องมือต่าง ๆ การคงอยู่ของงาน
ศิลปะ ความพอดีในงานศิลปะคุณค่าและความงามนั้น คงเหลืออยู่ในตัวของ
มันเองหรือไม่ งานศิลปะประจำชาติของเราเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท
เปลี่ยนแปลงในด้านใด คุณค่าความงามของงานศิลปะนั้นวัดจากเทคโนโลยี
หรือวัดด้วยคุณค่าของจิตและวิญญาณในประเทศไทยได้มีการค้นพบหลักฐาน
ต่างๆ ในทางศิลปกรรมทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งหลักฐานทางโบราณสถาน
และโบราณวัตถุ อาทิเช่น ภาพเขียนสีโบราณโดยฝีมือมนุษย์สมัยยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ ที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี หรือเครื่องปั้น
ดินเผาในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัด
อุดรธานี และจังหวัดต่าง ๆ กระจายกันออกไปทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึง
ความเจริญรุ่งเรืองครั้งอดีตของแต่ละพื้นที่ ศิลปประจำชาติไทยเรานั้นสืบ
ทอดกันมาแต่ละยุคสมัย แต่ละแขนงแตกต่างกันออกไปซึ่งแต่ละแขนงนั้น
ก็ได้มีการทะนุบำรุงรักษามาจนถึงปัจจุบัน ทั้งทางด้านเทคนิคและองค์
ประกอบส่วนต่างๆ ของวิชาเหล่านั้นซึ่งศาสตร์ศิลป์แต่ละแขนงก็จำเป็นที่
จะต้องมีการพัฒนา เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างสรรค์ง่ายต่อสังคม ตามสภาพ
พื้นที่ของชุมชน สภาพของภูมิประเทศ ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง
ของเทคโนโลยีต่องานศิลปกรรม เช่นโครงสร้างบ้านเรือนไทยที่มีความงาม
เป็นเอกลักษณ์ของไทยมาแต่โบราณ ในอดีตบ้านเรือนไทยถูกสร้างขึ้นด้วย
ไม้ทั้งเรือนยกพื้นสูง มีลักษณะเข้ากับสภาพแวดล้อมทางด้านภูมิศาสตร์
เพื่อความเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศ มีความงดงามอย่างลงตัว
สอดคล้องกับธรรมชาติ เมื่อวิวัฒนาการความเจริญบวกกับเทคโนโลยีก้าว
เข้ามาผสมผสานในงานสถาปัตยกรรมไทย เรือนไทยจึงถูกดัดแปลงจากการ
สร้างด้วยไม้สักทั้งเรือน เปลี่ยนแปลงโดยใช้ปูนเข้ามามีส่วนช่วยทำให้
บ้านเรือนไทยแข็งแรงยิ่งขึ้น ใช้สีที่สังเคราะห์มาทากันมดกันแมงและแมลง
ต่าง ๆ หรือครึ่งบนเป็นไม้ ครึ่งล่างเป็นปูนผสมผสานกันเมื่อมองดูแล้วไม่มี
ความงดงามเหลืออยู่เลยความเป็นเอกลักษณ์แบบฉบับเฉพาะ ความลงตัว
ของเรือนไทยได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทำให้งานศิลปะที่อยู่ในรูปแบบ
ของสถาปัตยกรรมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ไม่เจริญทางด้าน
ความงาม มุมมองเอกลักษณ์ที่ลงตัวขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงในงานศิลปะ
เทคโนโลยีเปลี่ยนแต่ศิลปะไม่เปลี่ยนศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์
ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆ ให้ปรากฏซึ่งสุนทรียภาพความ
ประทับใจ ความสะเทือนอารมณ์ ความอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา
ประสบการณ์ รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์
ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีหรือความเชื่อทางศาสนา (พจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2530) การที่ศิลปะนั้นได้มีการเผยแพร่พัฒนาก้าว
ไปในแต่ละยุคสมัยนั้น เทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนช่วยอย่างอาจเรียกได้ว่า
มนุษย์ย่อมที่จะรู้จักการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่หยุดอยู่กับที่พัฒนา
จากสิ่งที่เป็นอยู่ ทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หลากหลายแนวความคิด
เกิดแนวทางในการสร้างสรรค์ต้นแบบ แนวคิดนั้นเปรียบได้ คือ การนำ
เทคโนโลยีเข้ามาร่วมช่วยจัดของเดิม หรือสิ่งเดิมที่มีนำมาพัฒนาเปลี่ยน
แปลงไปในทางที่ดีขึ้นมีรูปแบบที่ดีเป็นระบบสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเป็นการ
นำเอาความรู้ในทางวิทยาศาสตร์มาช่วยใช้ในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เพื่อให้
เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือการนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยน
แปลงศาสตร์ต่างๆของศิลปะ อาทิเช่น จากเดิมนั้นศิลปะเป็นเพียงแค่ดินที่
คนนำขึ้นมาปั้นเป็นรูปต่าง ๆ และเปลี่ยนสภาพเป็นเครื่องใช้ไม้สอย หรือ
เครื่องประดับในชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละยุคสมัย ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเข้า
มาช่วยทำให้ศิลปะนั้นง่ายขึ้นสะดวกรวดเร็ว ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผล
ผลิตมากยิ่งขึ้น มีกรรมวิธีที่หลากหลาย ไม่จำเป็นแล้วสำหรับงานศิลปะ
ที่ผลิตขึ้นด้วยมือเพียงอย่างเดียว ดังนี้เองการนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการ
ในเรื่องต่างๆนั้น ทำให้มนุษย์ลืมที่จะอนุรักษ์รักษากรรมวิธีที่มีอยู่เดิม
คิดเรื่องความสะดวกสบายการทำงานที่ลดขั้นตอน และทำงานโดยออก
แรงน้อยที่สุดไม่ต้องใช้ทักษะมากนักในการสร้างสรรค์เพราะคอมพิวเตอร์
สามารถทำแทนได้เกือบทั้งสิ้น นี่แหล่ะคือปัจจุบัน เขาทำกันอย่างไร
ตัวเราเองก็ปฏิบัติตามกระแสกับเขาไปด้วย มนุษย์จึงลืมคิดไปถึงภูมิหลัง
ต้นตอแห่งความแท้จริงที่ธรรมชาติเป็นผู้กำเนิดชีวิต ชีวิตสร้างศิลปะ
ศิลปะแต่งเติมสร้างสรรค์ให้กับโลกของเรา การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็น
ตัวช่วยในการผลิตงานศิลปะประจำชาติ นับเป็นเรื่องที่หลายคนยังคงตั้ง
ข้อสงสัยว่า คุณภาพของงานความงามที่เป็นเอกลักษณ์ลงตัวของ
งานนั้นจะถดถอยด้อยลงไป หรือเทคโนโลยีทำให้งานศิลปะมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาจต้องมองกันในอีกหลายแง่มุม อาทิเช่นเรื่อง
ของสีฝุ่น(Tempera) ซึ่งเป็นสีเริ่มแรกของมนุษย์ ขั้นตอนในการผลิตนั้น
ได้นำมาจากธรรมชาติโดยทั้งสิ้น เช่น ดินหิน แร่ธาตุ พืช สัตว์ ผ่าน
กระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ทำให้ละเอียดเป็นผง ผสมกาวและน้ำที่ได้มา
จากพืชหรือส่วนต่างๆ ของสัตว์ ซึ่งในงานจิตรกรรมไทยของเรานั้นใช้
ยางมะขวิด กาวกระถิน หรือกาวมะขามรองพื้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยทำให้สี
เกาะติดพื้นผิวหน้าวัตถุไม่หลุดได้ง่าย คุณสมบัตินั้นอยู่ได้นานนับหลาย
ร้อยปี ในอดีตนั้นสีฝุ่นจึงมักใช้ในการเขียนภาพทั่วไป โดยเฉพาะภาพ
ฝาผนัง ครั้งสมัยหนึ่งนิยมเขียนภาพฝาผนังที่เรียกว่า สีปูนเปียก (Fresco)
โดยใช้สีฝุ่นเขียนในขณะที่ปูนฉาบผนังยังไม่แห้งดี เนื้อสีจะซึมเข้าไปใน
เนื้อปูนทำให้ภาพไม่หลุดลอกง่าย ปัจจุบันเมื่อมีการพัฒนาในสากลโลกขึ้น
สีฝุ่นจึงได้ถูกพัฒนาลักษณะเป็นผงหาซื้อได้ไม่ยากมีขายอยู่ทั่วไป การใช้
งานก็ง่ายเพียงแค่นำสีมาผสมกับน้ำโดยไม่ต้องผสมกาว เนื่องจากใน
กระบวนการผลิตได้ทำการผสมมาเสร็จสิ้นสามารถนำไปใช้ได้เลย ซึ่งการ
ใช้งานเหมือนกับสีโปสเตอร์ ทำให้สะดวกรวดเร็วไม่ต้องเสียเวลามาผลิตสี
ด้วยตนเอง และเทคโนโลยีนี้เองก็เข้ามามีบทบาทในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพียง
แต่เรื่องของสีในงานศิลปะเพียงอย่างเดียว เทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนช่วย
ในการพัฒนาปรับปรุงงานด้านต่าง ๆ อีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเข้ามาใช้ใน
ทางทหาร ในทางการแพทย์ ในทางเศรษฐกิจและด้านต่าง ๆ อีกมากมาย
ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งเทคโนโลยีด้วยกันทั้งสิ้น เทคโนโลยีคืองาน ศิลปะคือ
งาม
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีในงานศิลปะ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมาย เทคโนโลยี ไว้ว่า วิทยาการที่นำเอาความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ และอุตสาห
กรรมซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ นั้นในยุคปัจจุบัน
นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ด้านงานศิลปะก็เช่นกัน การนำเทคโนโลยีเข้ามามี
ส่วนช่วยในการผลิตงานศิลปะ ลดขั้นตอนในการผลิต สร้างความสะดวก
สบายและพัฒนางานศิลปะให้ดีขึ้นในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาท
ในงานศิลปะแทบทุกด้านโดยการผลิตงานนั้นมีการผ่านกระบวนการขั้นตอน
และเทคนิคสมัยใหม่ มีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้างสรรค์
งานผลิตได้ไม่จำกัดจำนวนไม่จำกัดเวลาและสถานที่ เป็นการผลิตงานศิลป
วัตถุที่ซ้ำไปซ้ำมาผลิตในรูปแบบการลอกเลียนแบบ งานเดิมให้ได้ใกล้เคียง
มากที่สุด ไม่ว่างานศิลปะชิ้นนั้นจะอยู่ในรูปแบบเชิงธุรกิจอยู่ในรูปแบบของ
เศรษฐกิจ ไม่จำกัดรูปลักษณ์ ไม่คำนึงถึงความสวยงาม แต่เน้นไปใน
ช่องทางการแข่งขัน เพื่อการเอาชนะไม่มีความพอเพียงในคุณค่าของงาน
หากเปรียบเทียบแล้ว ศิลปะในยุคเทคโนโลยี คือ การผลิตงานศิลปะขึ้นมา
เพื่อทดแทนแรงงาน ทดแทนธรรมชาติ ทดแทนจำนวนที่ขาดหายไป
เพิ่มจำนวนงานศิลปะที่สังคมยังต้องการอยู่ ให้ได้ใช้สอยให้ได้ตามความ
ต้องการของมนุษย์ซึ่งมีทั้งทางด้านที่ดีที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริม
การสร้างงานศิลปะ และในทางที่หลายคนนั้นต้องยอมรับถึงคุณค่าที่ขาด
หายไปจากงานศิลปะในปัจจุบัน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกระบวนการ
ผลิตถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปประจำชาติไทยเรานั้น เห็นได้ว่าเป็น
เรื่องที่ค่อนข้างลำบาก ใช่ว่าไม่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในงาน
ศิลปะได้ในทุกด้าน เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยได้เพียงบางส่วนใน
งานศิลปะประจำชาติ ช่วยให้ลดเรื่องของต้นทุน วัสดุ-อุปกรณ์ ขั้นตอน
การผลิต ลดขั้นตอนเรื่องของเวลา ในการสร้างงานเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็น
ผลดีต่องานศิลปะไทย แต่ในบางครั้งการที่ศิลปะนั้นมีลักษณะที่เป็น
หนึ่งเดียวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่ากาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด
ก็ยิ่งทำให้ศิลปะชิ้นนั้นกลับมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เกิดความขลังน่าศรัทธา
และลอกเลียนแบบได้ยาก เนื่องจากการให้คุณค่าทางอารมณ์ในการ
สร้างสรรค์ต่างกัน การใช้ฝีมือความสามารถที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
ในช่วงนั้น ๆ ต่างกันทั้งยุคสมัย ต่างกันทั้งเวลา ต่างกันที่จุดมุ่งหมาย
ในการสร้างงานศิลปะ และที่สำคัญการสร้างสรรค์โดยใช้จิตวิญญาณ
อารมณ์ความรู้สึกที่สอดแทรกลงไปในงานศิลปะดูแล้วเสมือนทำให้งาน
ศิลปะนั้นมีชีวิต สอดแทรกความเป็นจริงจินตนาการลงบนงานที่มีคุณค่า
ต่อตัวผู้สร้างหรือศิลปิน ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตงาน
ศิลปะในปัจจุบัน ก็ไม่อาจทำได้ถึงจะคัดลอกเลียนแบบ หรือสร้างสรรค์
ได้คล้ายคลึงมากเพียงใดก็ไม่อาจที่จะเปรียบเทียบงานดั้งเดิมหรือศิลปะ
ที่มีอยู่ก่อนแล้วได้ อาจเรียกได้ว่ายังขาดความงามหรือสุนทรียภาพของ
งานศิลปะในมุมมองของศิลปินผู้สืบสานและสร้างสรรค์งานศิลปะในแต่
ละยุคสมัย ส่วนสำคัญที่เป็นบทสรุปของงานศิลปะในทุกชิ้นที่ถูกสร้าง
ขึ้นมา ศิลปินหรือคนในวงการศิลปะเรียกกันว่า ความงามหรือ
สุนทรียภาพ “สุนทรีภาพ (Aisthetic) หมายถึง ความซาบซึ้งในคุณค่า
ของสิ่งที่งาม ไพเราะ หรือรื่นรมย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือศิลปะ”
(พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ. 2530 : 6) ซึ่งความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่า
ดังกล่าวนี้เองเกิดจากการได้พบเห็นหรือสัมผัส จนเกิดอารมณ์ความรู้สึก
ความประทับใจ นั่นก็คือความงามที่มีคุณค่า ความงามในที่นี้เป็นเรื่อง
ของคุณค่า (Value) ที่เป็นคุณค่าทางสุนทรียะ แตกต่างจากคุณค่าทาง
เศรษฐกิจ ที่เป็นราคาของวัตถุ แต่เป็นคุณค่าต่อจิตใจ ความงามเกิดขึ้น
ด้วยอารมณ์ มิใช่ด้วยเหตุผล ความคิดหรือข้อเท็จจริง ความงามมี 2ขั้น
ใหญ่ๆ คือ ความงามขั้นธรรมดาสามัญ เกิดจากเราไปสัมผัสกับสิ่งของ
ที่เราชอบ เราพึงพอใจธรรมดาทั่วไป และความงามขั้นต่อไป เพื่อจะให้
จิตเกิดความพึงพอใจขั้นสุดยอด เราต้องพยายามไปสัมผัสกับผลงาน
ทางศิลปะซึ่งมีองค์ประกอบหนึ่งสำคัญหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแต่
สามารถสร้างความรู้สึกสร้างอารมณ์ให้แก่จิตได้ด้วยประการต่าง ๆ”
(ทวีเกียรติ ไชยยงยศ.2538: 4) บทความจาก www.school.net.th
คุณค่าของความงามที่ได้ถูกสร้างสรรค์ปรุงแต่งจากธรรมชาติ หรือในตัว
ของมนุษย์ถูกถ่ายทอดจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าสู่จิตวิญญาณออกมา
เป็นอารมณ์ และความรู้สึกประทับใจนั่นเอง พอดีกับเทคโนโลยี พอดีกับ
ศิลปะ ความพอดีมีอยู่ในงานศิลปะต่อเมื่อผู้สร้างสรรค์งานเกิดความสุข
เมื่อถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่ตัวของผู้สร้างที่ได้ตั้งเอาไว้รู้จักพอเมื่อ
เกิดสุนทรียภาพ รู้จักที่จะพอในการที่ได้สร้างงานขึ้นมาจนเกิดความ
ประทับใจ นั่นคือศิลปะในขั้นแห่งความพอดี การบูรณาการเทคโนโลยีกับ
งานศิลปะในปัจจุบัน เปรียบเสมือกับการผลิตงานศิลปวัตถุที่ซ้ำแล้ว
ซ้ำเล่า ขาดการเอาใจใส่ในการผลิตสร้างสรรค์ สร้างสรรค์งานขึ้นมาเพื่อ
ตอบสนองสังคม ความกระหาย ความต้องการ ขาดความพอดีในตัวของ
งานศิลปะ ใช้งานศิลปะเป็นตัวตัดสินความถูกผิดในสังคมปัจจุบันที่สังคม
นั้นใช้ชีวิตเพื่อการอยู่รอด รอให้หมดเวลาไปวัน ๆ ในวัฏจักรของชีวิต
อยู่เพื่อหน้าที่บวกกับความรับผิดชอบ และภาระอีกหลายประการของ
ผู้สร้างงานศิลปะในยุคปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากศิลปะที่แท้จริงในอดีต
ศิลปะที่อยู่ในรูปแบบบริสุทธิ์การบูชาต่องานศิลปะมีพื้นฐานอยู่ในพิธีกรรม
ประเพณี และวัฒนธรรมศิลปะนั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นตามความเชื่อ
ความศรัทธา และไม่มีการลบหลู่ดูหมิ่นผู้ที่สร้าง หากแต่จะให้ความเคารพ
ยกย่องให้เกียรติต่อผู้ที่สร้างงานศิลปะนั้นขึ้นมา ใช้งานศิลปะในทางที่ดี
งาม ใช้ศิลปะในทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังนั้นศิลปะในครั้งอดีต
แต่ละยุค แต่ละชนชาติ ต่างชนชั้นวรรณะจึงถูกยอมรับในฐานะเป็นจุดเกิด
แห่งความจริงที่ถูกถ่ายทอดจากอารมณ์ที่แท้จริง ศิลปินในยุคก่อนมุ่ง
ต้องการที่จะถ่ายทอดศิลปะโดยนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆในยุคนั้น ๆออกมา
ในด้านบทกวีบ้าง ด้านการสร้างสรรค์งานบ้าง แสดงถึงความจริงใจ
มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์อย่างมีจุดมุ่งหมาย บวกกับความงามที่ลงตัว
ประกอบกับองค์ประกอบ ตัวแปรด้านต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมช่วงเวลานั้น
บ่งบอกถึงคุณค่า และเอกลักษณ์ประจำในแต่ละท้องถิ่น โดยไม่ต้องมี
คำอธิบายหรือเอกสารต่างๆ ประกอบ เมื่อเราได้มองหรือสัมผัสแล้วก็จะ
สะท้อนคุณค่างานศิลปะ บอกถึงความเป็นมา และสุดท้ายก็จบลงด้วย
ตัวของมันเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อหรือคำบอกกล่าวความงามใช้จิต
วิเคราะห์งานทำให้เกิดความสำราญขึ้นภายในจิตใจสิ่งใดที่เทคโนโลยีนั้น
ไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมเกี่ยวข้องในงานศิลปะได้ ก็ไม่ควรนำมาใช้
เราต้องรู้จักคำว่าพอดีกับงานศิลปะ และพอดีกับงานเทคโนโลยีปล่อย
ให้ธรรมชาตินั้นสร้างสรรค์ธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งดีที่สุด
บทสรุปของเทคโนโลยีกับงานศิลปะ เทคโนโลยีมีส่วนช่วยผลักดัน
และ
พัฒนางานศิลปะให้มีความก้าวหน้าทันสมัย สามารถทำให้งานศิลปะ
ที่หลายคนว่าเป็นเรื่องยากเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ง่าย เทคโนโลยีสามารถช่วย
ลดต้นทุนการผลิตงาน อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนปริมาณงานได้ไม่จำกัด
จำนวน แต่ถึงอย่างไรนั้นเทคโนโลยีก็ยังมีขีดจำกัดต่อการสร้างสรรค์งาน
การที่เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยต่อเติมงานศิลปะในปัจจุบัน หรือศิลปประจำ
ชาติเรานั้น มุมมองจุดประสงค์ของการสร้างงานนั้นแตกต่างกันตั้งแต่
แรกเริ่มแล้วอีกทั้งคุณภาพ และคุณค่าของงานยังแตกต่างกันอย่าง
สิ้นเชิง ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในงานศิลปประจำชาติ
เรานั้นจึงต้องรู้จักที่จะนำมาใช้อย่างพอดีพอประมาณ ศาสตร์ศิลปะ
บางแขนง เทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถนำมาช่วยเสริมเติมแต่งได้
เนื่องจากเป็นศิลปะเฉพาะทาง ซึ่งต้องใช้กรรมวิธีแต่สร้างงานขึ้นมา
เพื่อรักษารูปลักษณ์ รูปแบบ วิธีการสร้างสรรค์เอาไว้ นี่ก็คือ คุณค่า
อันสูงยิ่งในงานศิลปะ ที่ศิลปะในปัจจุบันนั้นไม่มี และไม่สามารถสร้าง
ขึ้นมาได้ ศิลปะในปัจจุบันยังนับว่ายังขาดคุณค่าและความงามที่แท้จริง
ของงานศิลปะ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญจึงต้องรู้จักกับจุดแห่งความพอดี
เกิดจุดถ่วงความสมดุลในการนำเทคโนโลยีมาใช้ คือ การสร้างงานด้วย
ความเคารพต่อต้นแบบที่นำมาให้เกียรติต่องาน หรือบุคคลที่เราได้นำ
ผลงานมาคัดลอก รู้จักการนำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมใช้ในทางศิลปะ
อย่างพอเพียง ใช้อย่างพอประมาณ เพื่อไม่ให้ไปทำลายความงามของ
ศิลปะ ซึ่งจุดนี้เองตัวของผู้ผลิตสร้างสรรค์งาน ต้องพึงระลึกเสมอว่า
การใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยเสริมเติมแต่งในงานศิลปะ งานศิลปะ
ไม่จำเป็นเสมอไป ที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการผลิต
มีจิตสำนึกในการสร้างงานอยู่ตลอดว่า ไม่ใช้เทคโนโลยีทำลายหรือ
เปลี่ยนแปลงของเดิมที่มี อยู่จนทำให้งานขาดคุณค่าจากเดิมที่เป็นอยู่
นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาเติมเต็ม และแก้ไขข้อบกพร่องของงาน
ศิลปะในจุดที่ธรรมชาติ ชาตินั้นขาดหายไป หรือไม่สามารถสร้างและ
ทดแทนขึ้นได้อีก ลดความฟุ่มเฟือยของมนุษย์ เพื่อไม่ให้มนุษย์เกิด
ความบ้าคลั่งที่อยากจะได้เพียงฝ่ายเดียว จนทำให้เสียจิตวิญญาณไป
ในที่สุด สุดท้ายนี้ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการทะนุบำรุงงาน
ศิลปประจำชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยสืบสานงานศิลปะ
ประเพณี วัฒนธรรม และทำให้มนุษย์เกิดเห็นคุณค่าความงาม
ความหวงแหนศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบไป
อ้างอิง
วิสิทธิ์ จงแจ่ม. 2550. เทคโนโลยีกับศิลปประจำชาติ บรรจงวาดความงาม
ต่างมุมมองกันอย่างไร. เข้าถึงได้จาก http://www.blogger.com/post-
create.g?blogID=5657430422164868461

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บรรยากาศงานสัมมนา Urban Research Plaza (URP)































ความรู้เบื้องต้นในการแสดงนาฏศิลปืไทย

นาฏศิลป์ไทยมีรูปแบบการแสดงเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของการแสดงแต่ละประเภท การใช้สุนทรียศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องจำเป็นต้องได้ศึกษาหาความรู้เบื้องต้น เรื่องสุนทรียศาสตร์ดังกล่าวแล้วการศึกษาข้อมูลในเรื่องประเภทนาฏศิลป์ไทยก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรศึกษาพอสังเขป เช่นกัน

ประเภทของนาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์ไทยเป็นศิลปะที่รวมเอาหลายสิ่งเข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. การแสดงโขน เป็นศิลปะของการรำ การเต้น แสดงเป็นเรื่องราว โดยมีศิลปะหลายรูปแบบผสมผสานกัน ลักษณะการแสดงโขนมีหลายชนิด ได้แก่ โขนกลางแปลง โขนนั่งราว โขนโรงใน โขนหน้าจอและโขนฉาก โขนแต่ละชนิดมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสิ่งสำคัญที่ประกอบการแสดงโขน คือ บทที่ใช้ประกอบการแสดงจากเรื่องรามเกียรติ์ การแต่งกายมีหัวโขน สำหรับสวมใส่เวลาแสดงเพื่อบอกลักษณะสำคัญตัวละครมีการพากย์ เจรจา ขับร้องและดนตรีบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ ยึดระเบียบแบบแผนในการแสดงอย่าง
เคร่งครัด
ภาพการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์
(จากหนังสือ นิทรรศการพิเศษ รามเกียรติ์ในศิลปะและวัฒนธรรมไทย : ปก)

2. การแสดงละคร ละครเป็นการแสดงเป็นเรื่องราว แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ คือ ละครแบบโบราณ จำแนกเป็นละครแบบดั้งเดิม ได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครรำแบบปรับปรุง ได้แก่ ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง ละครเสภา และอีกประเภทหนึ่ง คือ ละครที่มีพัฒนาการขึ้นใหม่ ได้แก่ ละครร้อง ละครสังคีต ละครพูด ละครหลวงวิจิตรวาทการ ละครเพลง ซึ่งละครแต่ละชนิดจะมีรูปแบบเฉพาะตัว และสืบทอดรูปแบบการแสดงมาจนถึงปัจจุบัน

ภาพการแสดงละครเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนแสนสะท้าน
(จากหนังสือสูจิบัตรละคร เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนแสนสะท้าน หน้า 22)



3. การแสดงรำและระบำ รำและระบำเป็นการแสดงชุดเบ็ดเตล็ดมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การรำหน้าพาทย์ การรำบท การรำเดี่ยว การรำหมู่ ระบำมาตรฐาน ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ รำ หรือระบำ ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องความสวยงามความพร้อมเพรียง ถ้าเป็นการแสดงหมู่มากตลอดทั้งใช้ระยะเวลาในการแสดง สั้น ๆ ชมแล้วไม่เกิดความเบื่อหน่าย

ภาพการแสดง ระบำ พัด รัตนโกสินทร์


4. การละเล่นพื้นเมือง การละเล่นพื้นเมืองเป็นการละเล่นในท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน แบ่งออกเป็น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน แต่ละภาคจะมีลักษณะเฉพาะในการแสดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ สภาพทางภูมิศาสตร์ประเพณี ศาสนา ความเชื่อและค่านิยมทำให้เกิดรูปแบบการละเล่นพื้นเมืองขึ้นหลายรูปแบบ ได้แก่ รูปแบบการแสดงที่เป็นเรื่องของการร้องเพลง เช่น เพลงเกี่ยวข้าว เพลงบอก เพลงซอ หรือรูปแบบเป็นการแสดง เช่น ฟ้อนเทียน เซิ้งกระหยัง ระบำตารีกีปัส ซึ่งแต่ละรูปแบบนี้จะมีทั้งแบบอนุรักษ์ปรับปรุงและพัฒนา เพื่อให้ดำรงอยู่สืบไป

ภาพการละเล่นพื้นเมือง ชุด เพลงอีแซว


สุนทรียศาสตร์ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย
การแสดงนาฏศิลป์ไทยในแต่ละประเภทนั้น หากมองถึงเรื่องสุนทรียะหรือความงามแล้วจะมีอยู่ในการแสดงนั้น ๆ อย่างเด่นชัด ผู้ที่จะมองเห็นได้ คงจะเป็นผู้ที่ยอมรับในความเป็นไทย มีจิตใจรักในศิลปะและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของศิลปะอย่างลึกซึ่ง นักวิชาการบางท่านได้กล่าวว่านาฏศิลป์ไทยเกิดขึ้นในแผ่นดินสยามนี้เอง มิได้นำแบบอย่างมาจากชาติใด รูปแบบการแสดงก็เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกว่าชาติอื่นเป็นศิลปะที่เด่นชัดมีความอ่อนช้อย สวยงาม ทั้งลีลา ท่ารำ เครื่องแต่งกาย รูปแบบการแสดง นับได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติที่คนไทยควรชื่นชม ภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

ความงามในการแสดงนาฏศิลป์ไทย
เรื่องของความงามในด้านนี้เป็นอีกทัศนะหนึ่งของผู้เขียนที่เห็นว่าความงามในการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. ความงามจากรูปร่างหน้าตา ในการศึกษานาฏศิลป์บางประเภท ผู้ที่จะเข้ามาศึกษาต้องได้รับการคัดเลือก รูปร่าง หน้าตา ก่อนเรียนโดยตรง เพื่อผลในการนำออกแสดงต่อไป ซึ่งจะทำให้การแสดงนั้น ๆ ดูสวยงามเหมาะสมในด้านการแสดง
การคัดเลือกผู้ฝึกตัวแสดงในนาฏศิลป์ไทยจะแบ่งออกเป็น 4 พวก คือ
1.1 ตัวพระ เลือกจากผู้มีใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ตากลมโต คอระหง มืออ่อน รูปร่างสูงโปร่ง

ภาพการคัดเลือกผู้เรียนตัวพระ
(จากหนังสือ วิชา นาฏศิลป์ หน้า 61 และ จากภาพโปสเตอร์ )


1.2 ตัวนาง เลือกจากผู้มีใบหน้ารูปไข่หรือใบหน้ากลมลักษณะอื่น ๆ บนใบหน้าดูสมส่วน มืออ่อน แขนอ่อน รูปร่างไม่สูงใหญ่นัก ท่าทางดูแช่มช้อยนุ่มนวล

ภาพการคัดเลือกผู้เรียนตัวนาง
(จากหนังสือ วิชา นาฏศิลป์ หน้า 61 และ จากภาพโปสเตอร์ )


1.3 ตัวยักษ์ เลือกจากผู้ที่มีคอระหง ใบหน้าไม่จำเป็นต้องดูงามรูปร่างโปร่ง สูงใหญ่ ช่วงลำตัวแขนขา
ได้สัดส่วน

ภาพการคัดเลือกผู้เรียนตัวยักษ์
(จากหนังสือ วิชา นาฏศิลป์ หน้า 63 และ จากภาพโปสเตอร์ )



1.4 ตัวลิง เลือกจากผู้ที่มีคอสั้น รูปร่างล่ำสันทะมัดทะแมง ไม่สูงนัก มีลักษณะว่องไว แคล่วคล่อง

ภาพการคัดเลือกผู้เรียนตัวลิง
(จากหนังสือ วิชา นาฏศิลป์ หน้า 62 และ จากภาพโปสเตอร์ )


เมื่อออกสู่การแสดง ย่อมทำให้ผู้ชมรู้สึกชื่นชม ในความงาม เกิดเป็นสุนทรียภาพของตัวละคร โดยเฉพาะการแสดงจำพวก โขนละคร ระบำรำฟ้อน เป็นต้น

2. ความงามของเครื่องแต่งกาย ในการแต่งกายของนาฏศิลป์ไทยจะมีรูปแบบเฉพาะตัว มีความแตกต่างกับเครื่องแต่งกายของนาฏศิลป์ชาติอื่น ๆ การแต่งกายจะดูสอดคล้องกับการแสดงเรื่องราวในการแสดง รวมทั้งมีการประดิษฐ์ สร้างสรรค์เครื่องประดับ ทั้งเลียนแบบของโบราณและแบบสมัยปัจจุบัน ตามจินตนาการของผู้สร้าง ดูสวยสดงดงาม อลังการกว่าการแต่งกายของชาติใด
ความงามของการแต่งกายนาฏศิลป์ไทย เมื่อจำแนกออกเป็นอย่าง ๆ จะปรากฏความงามตามรูปแบบการแสดงดังนี้
2.1 ความงามในการแต่งกายโขน จะมีเอกลักษณ์ในการแต่งกายตามภาษานาฏศิลป์ที่เรียกว่า “แต่งกายยืนเครื่อง” หรือ “ทรงเครื่อง” เป็นการแต่งกายที่วิจิตรบรรจง ทั้งลวดลาย ที่ตกแต่งบนเครื่องแต่งกายวิธีการสวมใส่ ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่ต้องจัดทำด้วยฝีมือและผู้มีความเชี่ยวชาญจึงจะสามารถทำได้ สีเครื่องแต่งกายยังบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของตัวละคร เช่น ถ้าเป็นมนุษย์สีเขียวที่สวมใส่จะหมายถึง ตัวพระราม ถ้าเป็นยักษ์สีเขียวที่สวมใส่จะหมายถึงทศกัณฐ์ นอกจากสีเครื่องแต่งกายแล้ว ลวดลายบนเครื่องแต่งกายตลอดจนหัวโขนที่สวมใส่ ยังบ่งบอกถึงตัวละคร และภูมิปัญญาของคนโบราณที่ได้คิดค้น อย่างเหมาะสมและสวยงาม

ภาพการแต่งกายผู้แสดงโขน ลิง ยักษ์ นาง พระ เรื่องรามเกียรติ์


2.2 ความงามในการแต่งกายละคร เนื่องจากละครของไทยจำแนกออกเป็นหลายชนิด รูปแบบการแต่งกาย จึงต้องดูให้เหมาะสมกับรูปแบบละครชนิดนั้น ๆ เช่น แต่งกายแบบยืนเครื่อง แต่งกายตามท้องเรื่อง ซึ่งการแต่งกายกับละครชนิดต่าง ๆ ก็ดูเหมาะสมสวยงาม เช่นกัน

ภาพการแต่งกายการแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนล่องทัพ


2.3 ความงามในการแต่งกายรำหรือระบำ การแสดงระบำของไทย มีจำนวนมากทั้งเป็นรูปแบบของเดิม และประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ การแต่งกายก็ล้วนแต่มีความงามและสื่อสานให้ผู้ชมได้เข้าใจการแสดงชุดนั้น ๆ เป็นอย่างดี

ภาพการแต่งกาย ระบำ ดอกบัว


2.4 ความงามในการแต่งกายการละเล่นพื้นเมือง เป็นการแต่งกายที่มีพื้นฐานจากชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในแต่ละภูมิภาค นำมาประดิษฐ์สร้างสรรค์ให้สวยงามเป็นที่ประทับใจของผู้ชม การแต่งกายประเภทนี้อาจมีทั้งรูปแบบโบราณ หรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ล้วนขึ้นอยู่กับการละเล่นพื้นเมืองชุดนั้น ๆ ถูกต้องตามลักษณะภูมิภาคของไทย


ภาพ การแต่งกาย การละเล่นพื้นเมือง ชุด เต้นสาก


3. ความงามจากลักษณะลีลาท่าทางการใช้ท่าร่ายรำ ภาษาท่าร่ายรำเป็นภาษาเฉพาะของนาฏศิลป์ไทยแทนภาษาพูดโดยไม่ต้องออกเสียง แต่อาศัยอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย แสดงออกมาเป็นท่าทางให้ผู้ชมได้เข้าใจแทนในความสวยงามในทางนาฏศิลป์ได้ เช่นใช้แทนคำพูด ได้แก่ รับ ปฏิเสธ เรียก ใช้เป็นกิริยาอาการต่าง ๆ ได้แก่ ยืน นั่ง นอน คลาน ไหว้ หรือใช้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกภายใน ได้แก่ อาการดีใจ เสียใจ รัก โกรธ เป็นต้น
นอกจากนี้ลีลาท่าทางที่ปรากฎ ก็จะต้องเข้าใจถึงรูปแบบการแสดง เช่น การร่ายรำ ที่ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวได้แก่ รำ ระบำ ความงาม ในการแสดง ก็จะปรากฏในรูปแบบของการแสดงคนเดียว การแสดงเป็นคู่ การแสดงเป็นหมู่ ซึ่งความงามจะต่างกันไปตามลีลาและจุดมุ่งหมายของการแสดงนั้น ๆ หรือ ความงามในการแสดง โขน ละคร ตัวละครต้องรำงาม ถูกต้องตามแบบแผน มีความกลมกลืนกับลีลาท่ารำที่ประสานกับคำร้องและดนตรีรวมทั้งการแสดงอารมณ์ของตัวละครทำได้ อย่างแนบเนียนดูสมจริง


ภาพลักษณะ ลีลาการใช้ท่าร่ายรำ
(จากหนังสือ THE PRELIMINARY COURSE OF TRAINING TN
THAI THEATRI CAL ART : ปก)


4. ความงามความไพเราะของการบรรเลงดนตรี ดนตรีเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของการแสดงที่จะทำให้ผู้ชมเกิดสุนทรีย์การบรรเลงจึงต้องเหมาะสมกับการแสดงแต่ละชนิด บรรเลงถูกต้องตามหน้าพาทย์ที่บัญญัติไว้เหมาะสมกับอารมณ์ เพลง กลมกลืนกับการขับร้องและการรำ เช่น ถ้าบรรเลงประกอบกับการขับร้องที่ไม่มีรำ บางครั้งผู้ร้องมีลูกเล่นลีลาที่เปลี่ยนไปตามบทร้องเฉพาะตัว ผู้บรรเลงสามารถช้าหรือเร็วตามลีลาของผู้ขับร้องได้ แต่ถ้าเป็นการบรรเลงประกอบการรำ ต้องบรรเลงพอเหมาะพอดีตามทำนองจะช้าหรือเร็วไปตามลีลาเฉพาะตัวของผู้ขับร้องไม่ได้ เพราะผู้รำต้องรำทำบทให้เป็นไปตามอารมณ์อย่างแท้จริง ผู้ร้องก็ต้องร้องให้ประสานกลมกลืนกับดนตรี และการรำของตัวละคร

ภาพการบรรเลงดนตรีไทย


5. ความงามความไพเราะของการขับร้อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยทุกประเภทจะมีการขับร้องเข้ามาเกี่ยวข้องสุนทรีย์ด้านการขับร้องจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการบรรจุเพลงอย่างถูกต้อง ผู้ขับร้องต้องขับร้องไพเราะ ความไพเราะอยู่ที่การใส่อารมณ์ให้ตรงกับบทร้อง ขับร้องถูกหลัก อักขระการแบ่งวรรคตอนในการร้องถูกต้อง เสียงต้องดีและชัดเจน ขับร้องให้สัมพันธ์กับการบรรเลงดนตรี ถ้าเป็นการขับร้องในการแสดงละครต้องให้ได้อารมณ์ ตามบทอย่างแท้จริง ผู้ฟังฟังแล้วเกิดสุนทรีย์ หมายถึง รับรู้ในความไพเราะเกิดการยอมรับและมีความรู้สึกคล้อยตาม
6. ความงาม ความไพเราะ ทางด้านบทประพันธ์ วรรณกรรม ในบทร้อยกรองต่าง ๆ ความไพเราะของบทกลอน ทำให้เกิดสุนทรีย์ คือ ไพเราะด้านเนื้อหา การใช้คำที่กลมกลืน ความหมายชัดเจน ตรงกับเป้าหมายของการแสดงแต่ละชนิด เหมาะสมต่อการนำไปขับร้อง ถ้าเป็นการตัดต่อบทละครต้องทำให้กลมกลืนเหมาะสมบทที่ดีต้องสามารถทำให้ผู้รำทำบทได้อย่างสวยงาม มองดูไม่รวบรัดลุกลี้ลุกลนจนเกินไป ไม่มีการตีบทซ้ำซาก สุนทรีย์ทางวรรณกรรม บทละครเกิดขึ้นได้จึงต้องประสานกลมกลืนกับการรำทำบทของตัวละคร ขณะเดียวกันต้องสามารถกลมกลืนกับการขับร้อง ทำให้ผู้ขับร้องได้ดีไม่ติดขัด การใช้คำเหมาะสมกับการส่งสำเนียงในการขับร้องผู้ฟังฟังแล้วเกิดความรู้สึกคล้อยตาม
7. ความงามจากการจัดฉากที่สวยงามเหมาะสม การจัดฉากเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการแสดงนาฏศิลป์ไทยบางประเภทเช่น การแสดงโขนฉาก การแสดงละครประเภทต่างๆ ซึ่งจะทำให้ดูสมจริงสมจัง ในขณะที่แสดง การจัดฉากของไทยจะมีความประณีต วิจิตรบรรจง สร้างบรรยากาศ ให้ผู้ชมเกิดจินตนาการคล้อยตามไปกับผู้แสดงในเหตุการณ์นั้น ๆ


ภาพการจัดฉากการแสดงละครนอกเรื่อง พระอภัยมณี ตอนหึงนางละเวง
(จากหนังสือ สูจิบัตร เรื่อง พระอภัยมณีตอนหึงนางละเวง : ไม่ปรากฏหน้า)


8. ความงามของแสง สีในการใช้เทคโนโลยี ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทันสมัยเพิ่มมากขึ้น การใช้ระบบแสง สี จึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบการแสดงต่าง ๆ ความงามของการใช้แสงสี ได้อย่างเหมาะสม จะเพิ่มคุณค่าของการแสดงอย่างดียิ่ง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมที่จะคล้อยตามเกิดประสาทสัมผัสในการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดจินตนาการเห็นความสวยงามในเครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า เห็นความสมจริงในการจัดการแสดง และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อการแสดงมากขึ้น


ภาพการใช้แสงสีในการแสดงโขนละคร


9. ความงามความพร้อมจากผู้ชม ผู้ชมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการแสดง เนื่องจากหากขาดผู้ชม การแสดงต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นมาก็จะไม่มีความหมาย เพราะไม่มีผู้ที่ชื่นชมการแสดงเหล่านั้น การเป็นผู้ชมที่ดีย่อมส่งผลสะท้อน กลับให้ศิลปินเกิดความภาคภูมิใจ และสามารถพัฒนาผลงานของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง สุนทรียจากผู้ชมก็คือ มีความพร้อม มีพื้นฐานในการชมการแสดง มี ความชอบมีใจรัก มีสมาธิ ในการชมการแสดง เข้าใจบทบาทของผู้แสดง ตลอดทั้งมีอารมณ์ร่วมกับผู้แสดง ก็จะทำให้ชมการแสดงได้อย่างซาบซึ้ง เพราะผู้ชมจะเกิดสุนทรีย์ในการเข้าชมเป็นอย่างดี


สรุป
จากองค์ประกอบสิ่งที่จะทำให้เกิดความงามในนาฏศิลป์ไทย อาจเป็นแง่มุมหนึ่ง ในความคิดเห็นของผู้เขียนเองที่มีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนนี้มาเป็นเวลาช้านานและได้ศึกษาค้นคว้า เรื่อง สุนทรียศาสตร์ จึงมีแนวคิดที่ว่า การแสดงนาฏศิลป์ไทยสอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยความสวย ความงาม และความไพเราะ สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส เกิดความรู้สึกปิติยินดี เบิกบานใจ พอใจ และชื่นชมในสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะอาจจะเป็นในธรรมชาติ หรือที่มนุษย์ผลิตคิดค้นขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้มีความงาม ล้วนเกี่ยวข้องกับการรับรู้ของมนุษย์ การได้ศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ ของสุนทรียศาสตร์นับว่ามีประโยชน์ทำให้เห็นแนวคิดของนักปราชญ์เหล่านั้นในแง่มุมการมองที่ต่างกันในเรื่องของความงามจนเป็นแนวทางให้ผู้เขียนมีมุมมองในความงามในการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่กว้างไกลมากขึ้น อีกทัศนะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความงามเป็นเรื่องของความรู้สึกและอารมณ์ ของแต่ละบุคคล ความงามคืออะไรและอยู่ ณ ที่แห่งใด จึงยากที่จะหาคำตอบที่ชัดเจนได้ ส่วนใหญ่จะสรุปตามแนวความคิดหรือความเชื่อของตนที่สอดคล้องกับทฤษฎีต่าง ๆ ความงามที่แท้จริงเป็นอย่างไรยังไม่สามารถสรุปได้ในเชิงการศึกษา แต่ได้มีนักปราชญ์โบราณได้เน้นเกี่ยวกับการหาเกณฑ์ทางความงาม ว่าเมื่อศาสตร์ทุกแขนงมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น ฉะนั้นมนุษยนั่นแหละคือมาตรวัดทุกสิ่ง ดังคำภาษาอังกฤษ ที่ว่า “Mam is The Measure of All Things”

LOGO D.F.A.1

          โลโก้ประจำรุ่น 1 Dr.ArtChula /design by : kru_ton

รากเหง้า

เพลงเรือ

โดย สุขสันติ แวงวรรณ
เพลงเรือจัดเป็นเพลงพื้นบ้านที่ต้องอาศัยปฏิภาณไหวพริบค่อนข้างสูง
เนื่องจากผู้แสดงไม่สามารถที่จะแสดงท่าทางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้
ด้วยข้อจำกัดของกิริยาที่อยู่บนเรือ
พ่อเพลงแม่เพลงนิยมเล่นเพลงเรือกันในเดือน 11 คือตั้งแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป
เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำเหนือไหลบ่าเข้าท่วมท้องทุ่ง
น้ำในแม่น้ำลำคลองก็เต็มตลิ่ง บ้างก็เอ่อล้นตลิ่งทำให้การสัญจรไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ
ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่วัดต่างๆ นิยมจัดงานนมัสการพระทอดกฐินหรือทอดผ้าป่า
ลูกหลานที่จากบ้านไปทำงานแดนไกลก็จะถือโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านและรวบรวมเงินจากผองเพื่อน
ตั้งเป็นองค์กฐินหรือผ้าป่าตามกำลังศรัทธา พ่อแม่พี่น้อง ลุง ป้า หรืออุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย
ก็จะพายเรือไปรวมตัวกันที่วัด เพื่อรอรับองค์กฐินและลูกหลานกลับสู่มาตุภูมิ
เมื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเรียบร้อยแล้วผู้ที่มีฝีมือทางด้านรำร้องก็ร่วมกันเฉลิมฉลอง
แต่ด้วยสภาพพื้นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำ การประคารมบนเรือน่าจะทำได้ดีและเหมาะสมที่สุด
พ่อเพลงแม่เพลงก็จะประฝีปากกันกลางสายน้ำ โดยเนื้อหาในการเล่นเพลงเรือขึ้นอยู่กับโอกาส
สถานที่ พ่อเพลงแม่เพลงจะนำเอาเรื่องราวในอดีต เหตุการณ์ปัจจุบัน วรรณกรรมพื้นบ้าน
หรือวิถีชีวิต แม้กระทั่งเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็สามารถนำมาเรียงร้อยเป็นบทร้อง
โต้ตอบกันได้เพื่อชิงไหวชิงพริบกัน ผู้ฟังก็จะได้ความรู้จากการนั่งชมเพลงเรือกันอีกทางหนึ่งด้วย
บ่อยครั้งที่มีพ่อเพลงแม่เพลงเดินทางมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาร่วมประฝีปาก
หรือบางทีก็อาจเดินทางจากแดนไกล เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อยุธยา อ่างทอง
มาร่วมเล่นเพลงร้องแก้กันอย่างสนุกสนาน ในบางครั้งกว่าจะเลิกราต่อกันก็กินเวลาไปค่อนรุ่งทีเดียว

………………………………….

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สุขสันติ

โอม ศรีมหาพิฆเนศวร นมัช
พระพิฆเนศวรเทพเจ้าแห่งอุปสรรคและศิลปวิทยาการ
ลักษณะประจำพระองค์คือ ความสว่างและพระกำลังดุจพระอาทิตย์
มีสี่กร กรขวาถือโมทกะหรืองาช้างหรือเหล็กจาง หนังเสือ
เป็นสัญลักษณ์ศิลปวิทยาการ กรซ้ายถือปาศะหรือบ่วงบาศเชือก
คล้องคอช้าง อังกุศะหรือขอสับช้าง เป็นสัญลักษณ์เทพเจ้าแห่งช้าง
ทั้งปวงในโลก และกรซ้ายล่างถือขนมลัฑฑุหรือขนมหวาน
มีงูพันรอบกาย และประทับบนหลังหนูมีความเป็นความมืดมิด
การประทับบนหลังหนูหมายถึงขจัดความมือทำให้เกิดความสว่าง
พระพิฆเนศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งความติดขัด หรืออุปสรรค
ผู้สามารถขัดขวางมนุษย์ สัตว์ เทวดา และมารร้าย ต่างๆ
ขณะเดียวกันก็สามารถขจัดสิ่งกีดขวางทั้งปวง
ผู้ประทานความสำเร็จ ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่
และผู้ประทานศิลปวิทยาการ ตำนาน
กำเนิดพระพิฆเนศวรมีหลากหลาย แต่จุดรวม
ที่สำคัญเหมือนกันคือ เป็นโอรสของพระศิวะ
กับนางปารวตี(พระอุมา) การนับถือพระพิฆเนศวร
จึงหมายถึงการเคารพพระศิวะและพระนางปารวตี
ในคราวเดียวกัน กำเนิดพระพิฆคเณศร ๆ
เป็นตราประจำกรมกองต่าง ๆ มากมาย
พระพิฆเนศวรเป็นเทพแห่งปราชญ์และความรอบรู้ต่าง ๆ
เป็นเทพแห่งขจัดอุปสรรคความขัดข้อง
ดังนั้นหากผู้ใดเป็นผู้รู้และต้องการประสบความสำเร็จ
ต่อกิจการทั้งปวงมักจะบูชาพระพิฆเนศวรก่อน
ในอินเดียเองก็มีแนวความเชื่อในเรื่องพระพิฆเนศวรในทุกลัทธิศาสนา
ไม่ว่าลัทธิที่ถือองค์พระศิวะเป็นใหญ่ นับถือพระพรหมเป็นใหญ่
หรือพระนารายณ์เป็นใหญ่ด้วยทุกตำรา
ได้กล่าวถึงที่มาของพระพิฆเนศวรไว้สูง
สำคัญและฤทธิ์มากมีความเฉลียวฉลาดมีคุณธรรม
คอยช่วยเหลือปกป้องปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและเป็นยอดกตัญญู
แม้พระพิฆเนศวรจะเป็นเทพที่มีความเก่งกาจสามารถยิ่ง
แต่ก็เป็นเทพที่สงบนิ่งไม่เย่อหยิ่งทรนงอันเป็นคุณสมบัติ
อันประเสริฐอีกประการหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
จึงกล่าวได้ว่า พระพิฆเนศวรเป็นมหาเทพที่ดีพร้อมครบถ้วน
ด้วยความดีงามสมควรแก่การยกย่องบูชาเป็นนิจ
แม้แต่องค์พระศิวะมหาเทพผู้สร้างและพระบิดาแห่งองค์พระพิฆเนศวร
ยังกล่าวว่า ไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดหรือทำพิธีบูชาใด
ให้ทำการบูชาพระพิฆเนศวร ก่อนกระทำการทั้งปวง
“ผู้ใด ต้องการความสำเร็จ ให้บูชาพระพิฆเนศวร”
ผู้ใด ต้องการพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง
มีตำนานที่กล่าวถึงความมีสติปัญญาและไหวพริบ
ของพระคเณศไว้หลายตอน อย่างเช่นกรณี
ที่ท่านเป็นผู้ลิขิตมหากาพย์ภารตะ ครั้งหนึ่ง
มหาฤาษีวยาสะมีความต้องการที่จะเขียนมหากาพย์ภารตะ
แต่เกรงว่าตนจะทำเองไม่สำเร็จ จึงไหว้วานให้ผู้อื่นช่วย
แค่ไม่มีใครกล้าอาสาที่จะรับงานชิ้นนี้ ฤาษีนารอด
เห็นว่าพระคเณศองค์เดียวเท่านั้นที่จะเขียนมหากาพย์ชิ้นนี้ได้
ในที่สุดฤาษีวยาสะจึงต้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระคเณศ
คนไทยรู้จักพระพิฆเนศวรมากที่สุดเพราะท่านเป็นมหาเทพ
มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมากที่สุดจนกล่าวได้ว่า
คนไทยยอมรับในองค์พระพิฆเนศวรเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง
ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ปางต่างๆขององค์พระคเณศที่มาจาก http://ganest.saiyaithai.org/
ปางที่ ๑ : พระบาล คณปติ (Bala Ganapati)อวตารภาคเด็ก :
ปางอันเป็นที่รักของทุกคนและเด็กๆ คาถา "โอม ศรี บาลา
คณปติ ยะนะมะฮา" เป็นพระพิฆเนศในวัยเด็ก คลานอยู่กับพื้น
หรืออิริยาบทอื่นๆ เมื่อโตขึ้นจึงเปลี่ยนลักษณะ มีวรรณะสีแดงเข้มมี4กร
บาลคณปติ หมายถึงสีทองของพระเจ้า ทรงถือต้นอ้อย
มะม่วง กล้วย และขนุน ที่งวงทรงถือลูกมะขวิด
แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และภาวะการเจริญเติบโต
นิยมบูชาในบ้านเรือน หรือโรงเรียนที่มีเด็กเล็ก เด็กนักเรียน
เช่น โรงเรียนอนุบาลและชั้นประถม สถานรับเลี้ยงเด็ก
สนามเด็กเล่น ฯลฯ
ปางที่ ๒ : พระตรุณ คณปติ (Taruna Ganapati)อวตารภาควัยหนุ่ม :
ปางที่ให้คุณประโยชน์ในกิจการงานคาถา
"โอม ศรี ตรุณะ คณปติ ยะนะมะฮา" วรรณะสีแดงอมส้ม
เหมือนอาทิตย์ยามแรกอรุณ มี ๘ กร ทรงถือรวงข้าว
ต้นอ้อย ตะบอง บ่วงบาศ งาหัก ผลฝรั่ง ขนมโมทกะ
และขนมอื่นๆ ปางนี้เป็นตัวแทนการเจริญเติบโต
ความเป็นหนุ่มสาว นิยมตั้งบูชาไว้ตามสถานศึกษา
มหาวิทยาลัย หรือสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว
วัยกระตือรือร้น
ปางที่ ๓ : พระภักติ คณปติ (Bhakti Ganapati) ปางบูชาขอพระเวท
เพื่อความสมบูรณ์เติมเต็มของชีวิต คาถา "โอม ศรี ภัคดี
คณปติ ยะนะมะฮา" วรรณะสีขาวบริสุทธิ์ดั่งพระจันทร์เต็มดวง
ในฤดูเก็บเกี่ยว มี ๔ กร ทรงถือมะม่วง กล้วย ลูกมะพร้าว
และถ้วยข้าวปาส(ปรุงด้วยนมสด และข้าวสาร มีรสหวาน)
พระภัคติ คณปติ หมายถึงผู้ภักดีอย่างแท้จริง
บูชาเพื่อความสุขสมหวังในชีวิต หรือเพื่อหลุดพ้น
ปางที่ ๔ : พระวีระ คณปติ (Veera Ganapati) อวตารแห่งนักรบ
ปางออกศึก และปราบมาร
ให้อำนาจในการบริหารปกครอง และความเป็นผู้นำ
คาถา “โอม ศรี วีระ คณปติ ยะนะมะฮา”วรรณะสีแดงโลหิต
มี ๑๖ กร ทรงอาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆคือ โล่ หอก
ค้อน คทา ธงชัย จักรตรา พญางู ขวาน คันศร ลูกศร
ตรีเพชร ขอสับช้าง อสูร กระบี่ ตะบอง และบ่วงบาศ
พระกรเหล่านั้นกางออกประดุจรัศมีอำนาจแห่งดวงอาทิตย์
อำนวยผลให้กับองค์กรบริหารราชการแผ่นดิน ทหาร
ตำรวจ พลเรือน ฝ่ายปกครอง ผู้นำ ผู้บริหาร
หัวหน้าหน่วยงานทุกประเภท
ปางที่ ๕ : พระศักติ คณปติ (Shakti Ganapati) ปางทรงอำนาจ
เหนือการงาน การเงิน และความรัก
คาถา “โอม ศรี ศักติ คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีแป้งจันทร์ มี ๔ กร ประทานพร
ถือพวงมาลัย บ่าวบาศ และกรหนึ่งโอบพระชายา
ที่ประทับอยู่หน้าตักด้านซ้าย รัศมีสีแดงส้ม
สื่อถึงพลังอำนาจที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง
อำนวยผลให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข
และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ปางที่ ๖ : พระทวิชา คณปติ (Dwija Ganapati) ปางของการบุกเบิก
เริ่มต้นชีวิตใหม่ เปิดกิจการใหม่
คาถา “โอม ศรี ทวิชา คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีขาวมี ๔ เศียร ๔ กร ทรงถือลูกปะคำ ไ
ม้ครู(หรือพลอง) กาน้ำ และคัมภีร์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่
ความพากเพียร และแสวงหาวิชาความรู้
อำนวยผลให้กับผู้ประกอบกิจการต่างๆ นักธุรกิจ
นักลงทุน นักสำรวจ นักบุกเบิก คนทำงานต่างแดน เป็นต้น
ปางที่ ๗ : พระสิทธิ คณปติ (Siddhi Ganapati)
ปางประทานความสมบูรณ์ และทรัพย์สมบัติ
คาถา “โอม ศรี สิทธิ คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีทองคำ มี ๔ กร ทรงถือช่อดอกไม้ มะม่วง ต้นอ้อย
และขวาน ส่วนงวงนั้นชูขนม คอยประทานความร่ำรวย
และความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลก อำนวยผลด้านทรัพย์สินเงินทอง
และความอุดมสมบูรณ์
ปางที่ ๘ : พระอุจฉิษฏะ คณปติ (Uchhishta Ganapati) ปางเสน่หา
และความสำเร็จสมปรารถนา
คาถา “โอม ศรี อุจฉิษฏะ คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีฟ้าเทาดุจเมฆา มี ๖ กร ประทับนั่งโดยพระกรหนึ่ง
โอบอุ้มศักติชายาอยู่ที่ตักด้านซ้าย ส่วนพระกรอื่นถือลูกประคำ
ลูกทับทิม พิณ รวงข้าว และดอกบัว อำนวยผลให้เกิดเสน่ห์
และความสำเร็จในด้านต่างๆตามแต่จะขอพร
ปางที่ ๙ : พระวิฆณา คณปติ (Vighna Ganapati)
ปางขจัดอุปสรรค และแก้ไขปัญหา
คาถา “โอม ศรี วิฆนา คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีทองคำ มี ๘ กร ทรงถือพวงมาลัย ขวาน
ดอกไม้ จักรตรา หอยสังข์ ต้นอ้อย(เป็นคันศร) บ่วงบาศ
และตะบอง อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทั่วไป
ตามแต่จะอธิษฐาน
ปางที่ ๑๐ : พระกษิประ คณปติ (Kshipra Ganapati)
ปางประทานพรให้สำเร็จรวดเร็ว
คาถา “โอม ศรี กษิประ คณปติ ยะนะมะฮา”
วรรณะสีแดงเข้มดุจกุหลาบ มี ๔ กร เป็นผู้ให้ศีลให้พร
ประทานพรให้เกิดผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทรงถือตะบอง
งาหัก บ่วงบาศ และช่อดอกไม้ อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทั่วไป
ตามแต่จะอธิษฐาน

วัดโทไดจิ




วัดโทได (「東大寺」, Todai-ji, 東大寺?) เป็นวัดพุทธในเมืองนะระ ประเทศญี่ปุ่น หอไดบุทสึ (Daibutsuden) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุสึขนาดใหญ่หล่อจากบรอนซ์ นอกจากนี้ วัดนี้ยังเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนศาสนาในสายเคงอนอีกด้วย วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่นๆอีก 7 แห่งในเมืองนะระ

ประวัติเมื่อครั้งแรกเริ่มสร้าง
ในสมัยเทมเปียว มีผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติและโรคระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 1286 จักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศว่า ประชาชนควรจะร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากภัยพิบัติ เนื่องจากทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ ตามบันทึกที่เก็บรักษาอยู่ในวัดโทไดได้กล่าวว่า มีคนมาช่วยสร้างพระพุทธรูปและหอที่ประดิษฐานมากกว่า 2,600,000 คน การสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้นครั้งแรกที่เมืองชิงะระกิ แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้และแผ่นดินไหวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็ได้ย้ายสถานที่สร้างมายังเมืองนะระใน พ.ศ. 1288 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 1294 ต่อมาใน พ.ศ. 1295 ได้มีการจัดพิธีเบิกพระเนตรเพื่อฉลองพระพุทธรูปองค์ใหม่ โดยมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อว่า Bodai-senna เป็นผู้ประกอบพิธี ตามบันทึกมีผู้มาร่วมพิธีราว 10,000 คน หลังจากนั้นจักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศให้วัดโทไดเป็นวัดประจำจังหวัดยะมะโตะ และเป็นศูนย์กลางของวัดทั่วอาณาจักร

การก่อสร้างขึ้นใหม่หลังสมัยนะระ
พระพุทธรูปไดบุสึถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งโดยเหตุผลต่างๆกัน รวมทั้งความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว และมีการสร้างขึ้นใหม่ 2 ครั้งที่มีสาเหตุจากเหตุเพลิงไหม้ โดยพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2111-2158) พระเศียรในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (พ.ศ. 2158-2410) และหอที่ประดิษฐานในปัจจุบันนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2252 โดยมีขนาดเล็กกว่าอาคารหลังเดิมราว 30% เดิมทีในบริเวณวัดจะมีเจดีย์สูง 100 เมตรอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในยุคหลังจากการสร้างพีระมิด แต่ได้พังทลายลงเนื่องจากแผ่นดินไหว

ข้อมูลทั่วไปของพระพุทธรูป
พระพุทธรูปไดบุทสึที่วัดโทได
ความสูงทั้งองค์ : 14.98 เมตร
ความสูงของพระพักตร์ : 5.33 เมตร
ความยาวของพระเนตร : 1.02 เมตร
ความกว้างของพระนาสิก : 0.5 เมตร
ความยาวของพระกรรณ : 2.54 เมตร
น้ำหนักรวม : 500
ตัน
ที่มา: www.wikipedia.com